ปลดปลงปลดปล่อยในถ้อยคำ
Tuesday, November 07, 2006
จดหมายถึงแม่ : กรุงเทพฯ ฝนไม่ตก
ปลดปลงปลดปล่อยในถ้อยคำ
Sunday, November 05, 2006
โมงยามของความเยาว์
หนึ่ง
...ยังอยู่ในโมงยามของความเยาว์
โมงยามที่เรายังเขลาและขลาด
หลงว่าลึก แท้ตื้นเขินเกินคาด
เราวาดภาพบางภาพ ไม่ทราบที่มา
เป็นภาพที่...เราคิดเองละเลงสี
เรารู้สึกปีติ-กระทั่งว่า...
ปลายพู่กันมือปาดสีบาดตา
เรารู้สึกจริงยิ่งกว่าจินตนาการ
มีเพลงบางเพลงเคยเร่งเร้า
จะฟังก่อนเข้าหลับช่วยขับขาน
และบางคืนอาจเรื่องเดิมเคลิ้มนิทาน
สงสัยในทุกตำนาน-โบราณคัมภีร์
มีบ้าง-บางของเล่นเห็นเป็นจริง
แต่ก็ขว้างทิ้งไป-ไม่ทันซีดสี
เช่นกันที่มีบ้างในบางที
เราล้อเล่นกับชีวิตจริงจริง
ในโมงยามความเยาว์,เราหัวเราะ
ยินทุกทุกคำเยาะไพเราะยิ่ง
ยิ้มกับทุกใบหน้าแม้ชังชิง
บางสิ่ง-ยากแยกออกหมอกหรือควัน
สอง
เห็นขบวนแห่ผ่านหน้าบ้านสนานร่วม
โอ...โลกสวมผ้าเนื้อดี หลากสีสัน
ดนตรี กลองยาวย้ำ รำประชัน
คนนั้นสวยไม่เบา คนเมาเซ
เพลงนั้น กระชั้นดังฟังแปลก-ทว่า
เร้าเราเสียยิ่งกว่าย่ากล่อมเห่
เราอาจรำไปไกลกว่าไกวเปล
และร่อนเร่ไม่กลับหลัง คืนฝั่งคอย...
สาม
ในโมงยามความเยาว์-เราพบว่า...
บางชนิดสินค้าดีมีปลีกย่อย
บางความผิดพลาดบาดแผลพร้อย
เจ็บในทุกริ้วรอย ค่อยค่อยรู้
บางผลึกเคี่ยวนานก่อนพานพบ
การเรียนที่ไม่รู้จบพามาสู่
ใจกล้าจะหยัดทานทุกกาลฤดู
เรารักจะอยู่ท่ามโมงยามเช่นนี้...
โมงยามที่ยี่สิบห้าของชีวิต
คลองทับช้างล่าง กรุงเทพกรีฑา,มหานคร : ๒๕๔๑
สถานีใด ?
ที่สุด,ลึก,กว้าง,ไกล-ไปไม่ถึง
แห่งต้นทาง,สถานีซึ่งไม่รู้ที่มา
นั่นเอง,จึงรู้ว่า-ล่วงหน้าไปแล้ว
หนึ่งคนหนึ่งโดยสารผ่านรู้สึก
ไตร่ตรอง
(๑)
นิ่งตระหนักสักนาทีจะดีไหม
เพื่อภายในได้ระงับความสับสน
เมื่อแสงสาดจากธาตุรู้-วิญญูชน
มาส่องจิตกระจ่างจนเห็นหนทาง
นานแล้ว,ใช่ไหมที่ใจแกว่ง
ไกวตามแรงหมุนโลก-สุข,โศกบ้าง
ทุกคำชื่นมิอยากละหนึ่งพยางค์
นิดหนึ่งคำกระด้างอยากห่างไกล
(๒)
ทุกทีที่หนีคำถามความรู้สึก
ณ ส่วนลึกอ้าปากค้างมีบ้างไหม
กับคำถามซ้ำซากฝากถามใจ
ที่เอาแต่ลื่นไหลเหมือนไม่เคย
ไม่แม้แต่คิดสู้อย่างซื่อสัตย์
เผชิญหน้าชัดชัดเจ้ายังเฉย
แท้จริง,เจ้าหวั่นไหว-หรือไม่เลย
มีเพียงเจ้าเท่านั้นเผยเฉลย-รู้
(๓)
จะพากเพียรเขียนถ้อยกี่ร้อยท่อน
กี่ขานขับก็มิกร่อนด้วยเพลงกู่
โศลกงามทรงพลังเคยพรั่งพรู
ก็มิอาจปลุกเจ้าสู้ความจริง
เราก็จิต เขาก็ใจ ใช่ไหมเล่า
ต่างก็แต่รูปเงาอันวุ่นวิ่ง
มีเปลือกหุ้ม มีมุมแคบไว้แอบอิง
เพื่อรอการสลัดทิ้งเมื่อถึงเวลา
(๔)
ผลักประตูบานเช้าก้าวไปเถิด
เมื่อแสงแห่งสัจจะบรรเจิดจ้า
คงประจักษ์ว่ามืดดำนั้นธรรมดา
เพียงแค่เปิดเปลือกตาขึ้นมามอง
(๕)
หากตระหนกเพื่อตระหนักในค่านั้น
ด้วยนิ่งคิดที่สำคัญกว่าใครผอง
จึงควรรู้,ทุกผลึกผ่านตรึกตรอง
และเคี่ยวกรำผ่านทำนองของนาที
เป็นทุกท่วงทำนองที่ต้องตระหนัก
ให้เลือดลมแห่งรักนั้นไหลรี่
ให้อุ่นปราณปรากฏงามแห่งความดี
ตระหนักนิ่งเช่นนี้ไปนานยาว
พุทธมณฑล : มิถุนายน ๒๕๓๘