Tuesday, November 07, 2006

จดหมายถึงแม่ : กรุงเทพฯ ฝนไม่ตก


อยู่บ้าน-สำราญใจอยู่ไหมแม่...
ฟังแต่ข่าวร้ายร้ายวันหลายหน
ลูกถามทั้งที่แม่ทุรน-ทน
อยู่บนเส้นด้ายชะตากรรม

“โอ้ว่า...ชีวิต ช่างนิดน้อย...”
ลูกได้ยินบ่อยบ่อยแม่คอยพร่ำ
ปลดปลงปลดปล่อยในถ้อยคำ
“เกิดดับธรรมดา...อย่าลนลาน”

ลูกถามเพราะอยากรี่ไปรอรับ-
แม่ขึ้นมาอยู่กับลูกและหลาน
ถามทั้งแม่ข้องขัด เคยทัดทาน
ห่วงปลวกขึ้นบ้านหากนานไป

บ้านของเรา-ที่พ่อเคยก่อร่าง
อยู่กลางสวนยางติดถนนใหญ่
บ้านที่ลูกค่อยร้าง ค่อยห่างไกล
หลังซื้อทาวน์เฮาส์ใหม่ในเมืองกรุง

บ้านของเรา-ที่เขาว่าไม่น่าอยู่
สถานการณ์ใครก็รู้-เรื่องยังยุ่ง
ไหนคนดี-คนร้าย คล้ายนังนุง
ลุงชมถูกฆ่าตายแหละแน่ชัด

ฯลฯ

สมานฉันท์กันเถิดหนา-ประชาธิปไตย
แตกต่างกันอย่างไรไม่จำกัด
พร้อมจะร่วงผล็อยทยอยพลัด
เท่าเทียมในทางลัด-อา...น่าคิด

เสมอภาค ณ เบื้องหน้าชะตากรรม
เสรีภาพจะกระทำถูกหรือผิด
ความหมายแท้แปรเปลี่ยนทีละนิด
มีชีวิตจึงคลับคล้ายตายทั้งเป็น

ฯลฯ

ฝนยังชุก-ตกทุกวันใช่ไหมแม่
ปนเลือดที่ไหลแผ่ลูกแลเห็น
ศพน้าชัยในทีวี-ข่าวช่วงเย็น
ตายเซ่นอีกชีวิตติดตาตรึง

ที่กรุงเทพฯ กรุงทน-ฝนไม่ตก
ลมหนาววกกลับมาอีกคราหนึ่ง
ลูกยังหมุนวงล้อห้อตะบึง
เหมือนจะถึงแต่ไม่ถึงสักครึ่งทาง

แม่จะมาเมื่อไหร่...บอกได้แม่
อย่ารอให้ย่ำแย่ค่อยก้าวย่าง
ลูกขอคุณพระดล-สวดมนต์พลาง
สิ่งเดียว-ทำได้บ้างระหว่างนี้

มหานคร,พฤศจิกายน 2548
ในความระลึกถึงแม่ และความตายของน้าวุฒิ ด.ต.วุฒิชัย ยอสมเพ็ชร

Sunday, November 05, 2006

โมงยามของความเยาว์

Picture : K.Staikidis



หนึ่ง
...ยังอยู่ในโมงยามของความเยาว์
โมงยามที่เรายังเขลาและขลาด
หลงว่าลึก แท้ตื้นเขินเกินคาด
เราวาดภาพบางภาพ ไม่ทราบที่มา

เป็นภาพที่...เราคิดเองละเลงสี
เรารู้สึกปีติ-กระทั่งว่า...
ปลายพู่กันมือปาดสีบาดตา
เรารู้สึกจริงยิ่งกว่าจินตนาการ

มีเพลงบางเพลงเคยเร่งเร้า
จะฟังก่อนเข้าหลับช่วยขับขาน
และบางคืนอาจเรื่องเดิมเคลิ้มนิทาน
สงสัยในทุกตำนาน-โบราณคัมภีร์

มีบ้าง-บางของเล่นเห็นเป็นจริง
แต่ก็ขว้างทิ้งไป-ไม่ทันซีดสี
เช่นกันที่มีบ้างในบางที
เราล้อเล่นกับชีวิตจริงจริง

ในโมงยามความเยาว์,เราหัวเราะ
ยินทุกทุกคำเยาะไพเราะยิ่ง
ยิ้มกับทุกใบหน้าแม้ชังชิง
บางสิ่ง-ยากแยกออกหมอกหรือควัน

สอง
เห็นขบวนแห่ผ่านหน้าบ้านสนานร่วม
โอ...โลกสวมผ้าเนื้อดี หลากสีสัน
ดนตรี กลองยาวย้ำ รำประชัน
คนนั้นสวยไม่เบา คนเมาเซ

เพลงนั้น กระชั้นดังฟังแปลก-ทว่า
เร้าเราเสียยิ่งกว่าย่ากล่อมเห่
เราอาจรำไปไกลกว่าไกวเปล
และร่อนเร่ไม่กลับหลัง คืนฝั่งคอย...

สาม
ในโมงยามความเยาว์-เราพบว่า...
บางชนิดสินค้าดีมีปลีกย่อย
บางความผิดพลาดบาดแผลพร้อย
เจ็บในทุกริ้วรอย ค่อยค่อยรู้

บางผลึกเคี่ยวนานก่อนพานพบ
การเรียนที่ไม่รู้จบพามาสู่
ใจกล้าจะหยัดทานทุกกาลฤดู
เรารักจะอยู่ท่ามโมงยามเช่นนี้...

โมงยามที่ยี่สิบห้าของชีวิต
คลองทับช้างล่าง กรุงเทพกรีฑา,มหานคร : ๒๕๔๑

สถานีใด ?

Scott Ligon "Train Station Surprise" -2002, 14"x11" Digital Painting
ดูเหมือน,การเดินทางมิร้างรู้สึก
ที่สุด,ลึก,กว้าง,ไกล-ไปไม่ถึง
เราอยู่ในระหว่างระยะทางคำนึง
โดยสารโดยลึกซึ้ง-รหัสยนัย

แห่งต้นทาง,สถานีซึ่งไม่รู้ที่มา
หนึ่งคำถาม ณ ชานชาลา-จะไปไหน
ตอบ-จะมุ่งไปให้สุดจุดหมายใจ
ซึ่งจะหยุด ณ ที่ใดก็ไม่รู้

รู้เพียง,นั่งเรียงภาพทุกวาบจิต
แห่งห้วงคิดแห่งความจริงอันดิ่งสู่
เราอาจเคยเดินทางมาต่างฤดู
และอาจเคยโยกย้ายอยู่ หลายตู้ขบวน

นั่นเอง,จึงรู้ว่า-ล่วงหน้าไปแล้ว
ที่สมัครกันชักแถวขึ้นเที่ยวด่วน
เราสิ,มัวละล้าละลังนั่งคำนวณ
รีบเถอะ ! เสียงร้องเร่งชวน-ขบวนสุดท้าย !

หนึ่งคนหนึ่งโดยสารผ่านรู้สึก
ท่ามเสียงอึกทึกอันหลากหลาย
บ้างก็ยืน บ้างนั่ง ทั้งหญิงชาย
ขึ้น,ลงตลอดสายตามรายทาง

นั่นเอง,จึงพบว่า...
ล้วนแสวงหาไม่รู้ที่ไป-ไม่แตกต่าง
สถานีมา,ก็เร้น เห็นเลือนลาง
เพียงรอยย่างบางเบา-ไม่รู้ตัวเลย

เรามาจากไหน-จะไปไหน
ยังบดเบลอทุกใจไร้คำเฉลย
รู้เพียงต้องเดินทางอย่างคุ้นเคย
ไม่เปิดเผย,ไม่ชัด-แม้ปัจจุบัน

บนขบวนรถไฟชั้น ๓ กรุงเทพฯ - นครสวรรค์ : ๒๕๓๙

ไตร่ตรอง

Picture : Thinker and landscape by John Petrone

(๑)
นิ่งตระหนักสักนาทีจะดีไหม
เพื่อภายในได้ระงับความสับสน
เมื่อแสงสาดจากธาตุรู้-วิญญูชน
มาส่องจิตกระจ่างจนเห็นหนทาง


นานแล้ว,ใช่ไหมที่ใจแกว่ง
ไกวตามแรงหมุนโลก-สุข,โศกบ้าง
ทุกคำชื่นมิอยากละหนึ่งพยางค์
นิดหนึ่งคำกระด้างอยากห่างไกล


(๒)
ทุกทีที่หนีคำถามความรู้สึก
ณ ส่วนลึกอ้าปากค้างมีบ้างไหม
กับคำถามซ้ำซากฝากถามใจ
ที่เอาแต่ลื่นไหลเหมือนไม่เคย


ไม่แม้แต่คิดสู้อย่างซื่อสัตย์
เผชิญหน้าชัดชัดเจ้ายังเฉย
แท้จริง,เจ้าหวั่นไหว-หรือไม่เลย
มีเพียงเจ้าเท่านั้นเผยเฉลย-รู้


(๓)
จะพากเพียรเขียนถ้อยกี่ร้อยท่อน
กี่ขานขับก็มิกร่อนด้วยเพลงกู่
โศลกงามทรงพลังเคยพรั่งพรู
ก็มิอาจปลุกเจ้าสู้ความจริง


เราก็จิต เขาก็ใจ ใช่ไหมเล่า
ต่างก็แต่รูปเงาอันวุ่นวิ่ง
มีเปลือกหุ้ม มีมุมแคบไว้แอบอิง
เพื่อรอการสลัดทิ้งเมื่อถึงเวลา


(๔)
ผลักประตูบานเช้าก้าวไปเถิด
เมื่อแสงแห่งสัจจะบรรเจิดจ้า
คงประจักษ์ว่ามืดดำนั้นธรรมดา
เพียงแค่เปิดเปลือกตาขึ้นมามอง


(๕)
หากตระหนกเพื่อตระหนักในค่านั้น
ด้วยนิ่งคิดที่สำคัญกว่าใครผอง
จึงควรรู้,ทุกผลึกผ่านตรึกตรอง
และเคี่ยวกรำผ่านทำนองของนาที


เป็นทุกท่วงทำนองที่ต้องตระหนัก
ให้เลือดลมแห่งรักนั้นไหลรี่
ให้อุ่นปราณปรากฏงามแห่งความดี
ตระหนักนิ่งเช่นนี้ไปนานยาว


พุทธมณฑล : มิถุนายน ๒๕๓๘