Sunday, November 05, 2006

ไตร่ตรอง

Picture : Thinker and landscape by John Petrone

(๑)
นิ่งตระหนักสักนาทีจะดีไหม
เพื่อภายในได้ระงับความสับสน
เมื่อแสงสาดจากธาตุรู้-วิญญูชน
มาส่องจิตกระจ่างจนเห็นหนทาง


นานแล้ว,ใช่ไหมที่ใจแกว่ง
ไกวตามแรงหมุนโลก-สุข,โศกบ้าง
ทุกคำชื่นมิอยากละหนึ่งพยางค์
นิดหนึ่งคำกระด้างอยากห่างไกล


(๒)
ทุกทีที่หนีคำถามความรู้สึก
ณ ส่วนลึกอ้าปากค้างมีบ้างไหม
กับคำถามซ้ำซากฝากถามใจ
ที่เอาแต่ลื่นไหลเหมือนไม่เคย


ไม่แม้แต่คิดสู้อย่างซื่อสัตย์
เผชิญหน้าชัดชัดเจ้ายังเฉย
แท้จริง,เจ้าหวั่นไหว-หรือไม่เลย
มีเพียงเจ้าเท่านั้นเผยเฉลย-รู้


(๓)
จะพากเพียรเขียนถ้อยกี่ร้อยท่อน
กี่ขานขับก็มิกร่อนด้วยเพลงกู่
โศลกงามทรงพลังเคยพรั่งพรู
ก็มิอาจปลุกเจ้าสู้ความจริง


เราก็จิต เขาก็ใจ ใช่ไหมเล่า
ต่างก็แต่รูปเงาอันวุ่นวิ่ง
มีเปลือกหุ้ม มีมุมแคบไว้แอบอิง
เพื่อรอการสลัดทิ้งเมื่อถึงเวลา


(๔)
ผลักประตูบานเช้าก้าวไปเถิด
เมื่อแสงแห่งสัจจะบรรเจิดจ้า
คงประจักษ์ว่ามืดดำนั้นธรรมดา
เพียงแค่เปิดเปลือกตาขึ้นมามอง


(๕)
หากตระหนกเพื่อตระหนักในค่านั้น
ด้วยนิ่งคิดที่สำคัญกว่าใครผอง
จึงควรรู้,ทุกผลึกผ่านตรึกตรอง
และเคี่ยวกรำผ่านทำนองของนาที


เป็นทุกท่วงทำนองที่ต้องตระหนัก
ให้เลือดลมแห่งรักนั้นไหลรี่
ให้อุ่นปราณปรากฏงามแห่งความดี
ตระหนักนิ่งเช่นนี้ไปนานยาว


พุทธมณฑล : มิถุนายน ๒๕๓๘

No comments: