Tuesday, November 07, 2006

จดหมายถึงแม่ : กรุงเทพฯ ฝนไม่ตก


อยู่บ้าน-สำราญใจอยู่ไหมแม่...
ฟังแต่ข่าวร้ายร้ายวันหลายหน
ลูกถามทั้งที่แม่ทุรน-ทน
อยู่บนเส้นด้ายชะตากรรม

“โอ้ว่า...ชีวิต ช่างนิดน้อย...”
ลูกได้ยินบ่อยบ่อยแม่คอยพร่ำ
ปลดปลงปลดปล่อยในถ้อยคำ
“เกิดดับธรรมดา...อย่าลนลาน”

ลูกถามเพราะอยากรี่ไปรอรับ-
แม่ขึ้นมาอยู่กับลูกและหลาน
ถามทั้งแม่ข้องขัด เคยทัดทาน
ห่วงปลวกขึ้นบ้านหากนานไป

บ้านของเรา-ที่พ่อเคยก่อร่าง
อยู่กลางสวนยางติดถนนใหญ่
บ้านที่ลูกค่อยร้าง ค่อยห่างไกล
หลังซื้อทาวน์เฮาส์ใหม่ในเมืองกรุง

บ้านของเรา-ที่เขาว่าไม่น่าอยู่
สถานการณ์ใครก็รู้-เรื่องยังยุ่ง
ไหนคนดี-คนร้าย คล้ายนังนุง
ลุงชมถูกฆ่าตายแหละแน่ชัด

ฯลฯ

สมานฉันท์กันเถิดหนา-ประชาธิปไตย
แตกต่างกันอย่างไรไม่จำกัด
พร้อมจะร่วงผล็อยทยอยพลัด
เท่าเทียมในทางลัด-อา...น่าคิด

เสมอภาค ณ เบื้องหน้าชะตากรรม
เสรีภาพจะกระทำถูกหรือผิด
ความหมายแท้แปรเปลี่ยนทีละนิด
มีชีวิตจึงคลับคล้ายตายทั้งเป็น

ฯลฯ

ฝนยังชุก-ตกทุกวันใช่ไหมแม่
ปนเลือดที่ไหลแผ่ลูกแลเห็น
ศพน้าชัยในทีวี-ข่าวช่วงเย็น
ตายเซ่นอีกชีวิตติดตาตรึง

ที่กรุงเทพฯ กรุงทน-ฝนไม่ตก
ลมหนาววกกลับมาอีกคราหนึ่ง
ลูกยังหมุนวงล้อห้อตะบึง
เหมือนจะถึงแต่ไม่ถึงสักครึ่งทาง

แม่จะมาเมื่อไหร่...บอกได้แม่
อย่ารอให้ย่ำแย่ค่อยก้าวย่าง
ลูกขอคุณพระดล-สวดมนต์พลาง
สิ่งเดียว-ทำได้บ้างระหว่างนี้

มหานคร,พฤศจิกายน 2548
ในความระลึกถึงแม่ และความตายของน้าวุฒิ ด.ต.วุฒิชัย ยอสมเพ็ชร

Sunday, November 05, 2006

โมงยามของความเยาว์

Picture : K.Staikidis



หนึ่ง
...ยังอยู่ในโมงยามของความเยาว์
โมงยามที่เรายังเขลาและขลาด
หลงว่าลึก แท้ตื้นเขินเกินคาด
เราวาดภาพบางภาพ ไม่ทราบที่มา

เป็นภาพที่...เราคิดเองละเลงสี
เรารู้สึกปีติ-กระทั่งว่า...
ปลายพู่กันมือปาดสีบาดตา
เรารู้สึกจริงยิ่งกว่าจินตนาการ

มีเพลงบางเพลงเคยเร่งเร้า
จะฟังก่อนเข้าหลับช่วยขับขาน
และบางคืนอาจเรื่องเดิมเคลิ้มนิทาน
สงสัยในทุกตำนาน-โบราณคัมภีร์

มีบ้าง-บางของเล่นเห็นเป็นจริง
แต่ก็ขว้างทิ้งไป-ไม่ทันซีดสี
เช่นกันที่มีบ้างในบางที
เราล้อเล่นกับชีวิตจริงจริง

ในโมงยามความเยาว์,เราหัวเราะ
ยินทุกทุกคำเยาะไพเราะยิ่ง
ยิ้มกับทุกใบหน้าแม้ชังชิง
บางสิ่ง-ยากแยกออกหมอกหรือควัน

สอง
เห็นขบวนแห่ผ่านหน้าบ้านสนานร่วม
โอ...โลกสวมผ้าเนื้อดี หลากสีสัน
ดนตรี กลองยาวย้ำ รำประชัน
คนนั้นสวยไม่เบา คนเมาเซ

เพลงนั้น กระชั้นดังฟังแปลก-ทว่า
เร้าเราเสียยิ่งกว่าย่ากล่อมเห่
เราอาจรำไปไกลกว่าไกวเปล
และร่อนเร่ไม่กลับหลัง คืนฝั่งคอย...

สาม
ในโมงยามความเยาว์-เราพบว่า...
บางชนิดสินค้าดีมีปลีกย่อย
บางความผิดพลาดบาดแผลพร้อย
เจ็บในทุกริ้วรอย ค่อยค่อยรู้

บางผลึกเคี่ยวนานก่อนพานพบ
การเรียนที่ไม่รู้จบพามาสู่
ใจกล้าจะหยัดทานทุกกาลฤดู
เรารักจะอยู่ท่ามโมงยามเช่นนี้...

โมงยามที่ยี่สิบห้าของชีวิต
คลองทับช้างล่าง กรุงเทพกรีฑา,มหานคร : ๒๕๔๑

สถานีใด ?

Scott Ligon "Train Station Surprise" -2002, 14"x11" Digital Painting
ดูเหมือน,การเดินทางมิร้างรู้สึก
ที่สุด,ลึก,กว้าง,ไกล-ไปไม่ถึง
เราอยู่ในระหว่างระยะทางคำนึง
โดยสารโดยลึกซึ้ง-รหัสยนัย

แห่งต้นทาง,สถานีซึ่งไม่รู้ที่มา
หนึ่งคำถาม ณ ชานชาลา-จะไปไหน
ตอบ-จะมุ่งไปให้สุดจุดหมายใจ
ซึ่งจะหยุด ณ ที่ใดก็ไม่รู้

รู้เพียง,นั่งเรียงภาพทุกวาบจิต
แห่งห้วงคิดแห่งความจริงอันดิ่งสู่
เราอาจเคยเดินทางมาต่างฤดู
และอาจเคยโยกย้ายอยู่ หลายตู้ขบวน

นั่นเอง,จึงรู้ว่า-ล่วงหน้าไปแล้ว
ที่สมัครกันชักแถวขึ้นเที่ยวด่วน
เราสิ,มัวละล้าละลังนั่งคำนวณ
รีบเถอะ ! เสียงร้องเร่งชวน-ขบวนสุดท้าย !

หนึ่งคนหนึ่งโดยสารผ่านรู้สึก
ท่ามเสียงอึกทึกอันหลากหลาย
บ้างก็ยืน บ้างนั่ง ทั้งหญิงชาย
ขึ้น,ลงตลอดสายตามรายทาง

นั่นเอง,จึงพบว่า...
ล้วนแสวงหาไม่รู้ที่ไป-ไม่แตกต่าง
สถานีมา,ก็เร้น เห็นเลือนลาง
เพียงรอยย่างบางเบา-ไม่รู้ตัวเลย

เรามาจากไหน-จะไปไหน
ยังบดเบลอทุกใจไร้คำเฉลย
รู้เพียงต้องเดินทางอย่างคุ้นเคย
ไม่เปิดเผย,ไม่ชัด-แม้ปัจจุบัน

บนขบวนรถไฟชั้น ๓ กรุงเทพฯ - นครสวรรค์ : ๒๕๓๙

ไตร่ตรอง

Picture : Thinker and landscape by John Petrone

(๑)
นิ่งตระหนักสักนาทีจะดีไหม
เพื่อภายในได้ระงับความสับสน
เมื่อแสงสาดจากธาตุรู้-วิญญูชน
มาส่องจิตกระจ่างจนเห็นหนทาง


นานแล้ว,ใช่ไหมที่ใจแกว่ง
ไกวตามแรงหมุนโลก-สุข,โศกบ้าง
ทุกคำชื่นมิอยากละหนึ่งพยางค์
นิดหนึ่งคำกระด้างอยากห่างไกล


(๒)
ทุกทีที่หนีคำถามความรู้สึก
ณ ส่วนลึกอ้าปากค้างมีบ้างไหม
กับคำถามซ้ำซากฝากถามใจ
ที่เอาแต่ลื่นไหลเหมือนไม่เคย


ไม่แม้แต่คิดสู้อย่างซื่อสัตย์
เผชิญหน้าชัดชัดเจ้ายังเฉย
แท้จริง,เจ้าหวั่นไหว-หรือไม่เลย
มีเพียงเจ้าเท่านั้นเผยเฉลย-รู้


(๓)
จะพากเพียรเขียนถ้อยกี่ร้อยท่อน
กี่ขานขับก็มิกร่อนด้วยเพลงกู่
โศลกงามทรงพลังเคยพรั่งพรู
ก็มิอาจปลุกเจ้าสู้ความจริง


เราก็จิต เขาก็ใจ ใช่ไหมเล่า
ต่างก็แต่รูปเงาอันวุ่นวิ่ง
มีเปลือกหุ้ม มีมุมแคบไว้แอบอิง
เพื่อรอการสลัดทิ้งเมื่อถึงเวลา


(๔)
ผลักประตูบานเช้าก้าวไปเถิด
เมื่อแสงแห่งสัจจะบรรเจิดจ้า
คงประจักษ์ว่ามืดดำนั้นธรรมดา
เพียงแค่เปิดเปลือกตาขึ้นมามอง


(๕)
หากตระหนกเพื่อตระหนักในค่านั้น
ด้วยนิ่งคิดที่สำคัญกว่าใครผอง
จึงควรรู้,ทุกผลึกผ่านตรึกตรอง
และเคี่ยวกรำผ่านทำนองของนาที


เป็นทุกท่วงทำนองที่ต้องตระหนัก
ให้เลือดลมแห่งรักนั้นไหลรี่
ให้อุ่นปราณปรากฏงามแห่งความดี
ตระหนักนิ่งเช่นนี้ไปนานยาว


พุทธมณฑล : มิถุนายน ๒๕๓๘

Monday, October 30, 2006

วิถีแห่งเรา


หนึ่ง
ผ่านมาตามเวลา เข็มนาฬิกากระดิก
ในจังหวะลมระริกใบไม้พลิกไหว
พบว่า...มหานคร ยินเสียงถอนหายใจ
แลกลมอุ่นอยู่ใกล้ใกล้ ไม่รู้จักกัน

มองหน้าก็เร้นเห็นไม่เต็มหน้า
เพียงหางตาชำเลืองแวบ แอบแอบหัน
บางทีเมื่อตาสบ หลบไม่ทัน
ยิ้มเหงาเหงาก็เท่านั้นฉันให้เธอ

เราอาจจะรู้ใจ ไม่รู้จัก
ริมฝีปากเม้มหนัก ไม่อยากเผยอ
รักจริง-หาจากใครเท่าไหร่ไม่เจอ
เราหวงแหนเสมอทั้งที่เพ้อรำพึง

สอง
ผ่านมาแล้ว ฉันพามาองคาพยพ
จากด้านอันไม่จบแค่ภพหนึ่ง
สู่ด้านที่ดาลใจ วาวใสตรึง
เส้นลวดขึง ไต่เส้นลวด...ฉันรวดร้าว

ผ่านเพียงเพื่อหมายจะทายทัก
มีนาทีคลายพักสักคราวหนาว
ในล้อมวง-มีเสียงกระซิบหมายจิบดาว
จะช่วยป่าวให้ดังเพียงหวังชม

แต่พบเพื่อนในวันว่างที่ไม่ว่าง
งานหนักมิอาจวางตื่นฝืนข่ม
มีนาทีงีบหลับไปในระบม
ไหนเลยสมสนิทปิดดวงตา

งานที่ไม่มีหรอกเม็ดเหงื่อ
ผลสำเร็จอาจไม่เหลือให้ลือค่า
งานที่แลกเงินผ่านกาลเวลา
ต่อชีวิตไว้ผลาญพร่าบนรถเมล์

เขารู้ เธอรู้ ใครใครรู้
ทุกพรายพรูอารมณ์ลมเมืองเห่
ระอุร้อนใจกายหรือถ่ายเท
เราทั้งเพรึอาจหนีวิถีเมือง

เหมือนก้าวเดินเผชิญกับกับดัก
ที่เรารักหมายมุ่งอยู่ฟุ้งเฟื่อง
ที่เราล้วนอยู่กับหวังมลังเมลือง
ลืมตัวและหมดเปลืองธรรมดาชาชิน

สาม
ผ่านมาตามลำพังหลังล่วงสู่
พบพี่ผู้เป็นธารใจไม่สุดสิ้น
ฟังเสียงที่วิถีเมืองไม่อาจยิน
ดื่มกินในวิถีธรรมจนสำลัก

พบว่ามหานครยังต้อนสู่
ธรณีประตูกลพราง วางกับดัก
ยังคงมีหวังงาม มีความรัก
บอกชีวิตหนักเท่าไหร่จะไม่แพ้

เราทั้งมวลล้วนมีวิถีแห่งเรา
เป็นวิถีเงียบเศร้าคละ-นอกกระแส
เรายินดีดื่มด่ำมันมิผันแปร
เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งแท้ย่อมคงทน

สี่
ผ่านแล้ว...ฉันผ่านลามหานคร
เพื่อคืนย้อนก่อนตายอีกหลายหน
เมืองที่เราก่นด่ามาหลายอายุคน
แต่ไหนเลยจะหลีกพ้น...วิถีเมือง

บนเส้นทาง เชียงใหม่-กรุงเทพ-เชียงใหม่, 2540

ดื่มดึก



หนึ่ง
บาทวิถี,ทอดเงาคนเมาผ่าน
ด่าคืนรีบคืบคลานไปถึงไหน
คงเพราะเขาเมามายจากภายใน
กระดกเหล้าแก้วที่เท่าไหร่ เขาไม่รู้

เช่นกัน, หนึ่งหนุ่มยังดุ่มเดิน
เชื่องช้าเสียเหลือเกินเพลินคิดอยู่
คงไม่เห็นใครลอบมองจากช่องประตู
คล้ายเดินสู่ที่ใดไม่แจ่มชัด

แหละโน่น, กรายปีกสีของผีเสื้อ
โบกอยู่เพื่อยั่วเย้าเร้าสัมผัส
ต่อมือต่อแววตา สารพัด
เธอคงไม่เจนจัดหรอกต่อดอกไม้

นั่น ! หมาผอมโซเดินโผเผ
แวะตรงที่รถเมล์มาจอดป้าย
โอ้...สูงถังขยะเกินตะกาย
เก็บเศษกระจายกินพอต่อชีวา

สอง
คือราตรีของผีเสื้อ
เรื่อแสงนีออน อ่อนล้า
สดสีไฟพริบระยิบตา
เพ่งนานภาพพร่า พร่าเลือน

คือราตรีของคนเมา คนเหงา หมา
ในเวลาที่ ทั้งมี, ไม่มีเพื่อน
ในเดือนที่เพลิดเพลินด้วยเงินเดือน
จนมาเยือนของลำบากด้วยยากจน

คือราตรีที่ยังมีชีวิต, คิด...
อภิสิทธิ์เหนือบริสุทธิ์ พ้นหลุดพ้น
เพียงลำพัง, แทรกร่างกลางฝูงชน
จะยืนยันตัวตนได้อย่างไร

ต่อบางราตรีที่ไม่ลี้ลับ
แต่กลับกระจ่างสว่างไสว
โอ ! แสงแสบจ้านัยน์ตาเท่าใด
อาจมืดบอดหัวใจได้เท่านั้น

คืนหรือคงเวลาที่ดึกที่สุด
ขณะโลกรุดอย่างเกินขวางกั้น
เรายังคงเลาะเลียบไปเงียบงัน
สู่คืนสนั่นเพียงเสียงอึกทึก

โดยเงียบทั้งหลายในภายใน
ดังเท่าไหร่หนอ...จะพอกลบรู้สึก
ถ่องแท้เล่าเท่าใด เท่าใจนึก
ว่า – ชัดพอต่อดึก ไม่ลึกลับ

สาม
คือราตรีฝูงผีเสื้อดาดดื่น
เกลื่อนคนที่คืนกล่อมไม่ยอมหลับ
คนเมา คนเหงา หมา มากกว่านับ
ตลอดดึกที่มิอาจดับแสงไฟ

ดึกหนึ่งย่ำเท้าผ่านอึกทึกสถานย่านบางกะปิ, กรุงเทพฯ : มกราคม, 2541

ออฟฟิศกลางกรุง : กิ้งกือบนชั้นที่ 13

Picture : www.matichon.co.th


เหนื่อย-มาอย่างไร-ใจจำสู้
หน่าย-อยู่อย่างไรแกล้งไม่เห็น
ทุกเช้าชีวิตชืดเย็น
เติมอุ่นใจเต้น-หนึ่งถ้วยกาแฟ

ต่อวันผันคืนให้ยืนยืด
จืดภาระงานกลับหวานแท้
เจือขม-กลมกล่อมปุ่มลิ้นแปร
หนึ่งถ้วยบัตรพลีแก่-หนึ่งชีวิต

เช้านี้...มิทันชง มิทันชิม
ลิ้นลิ้มเพียงรสชืด-จืดสนิท
ครุ่นเหมือน GURU-ไม่รู้คิด
ส่ำเสียงสะกิดโสตสำนึก

จากพื้นพรมในห้องของเจ้านาย
วี้ดว้าย-วายวุ่นทั้งตัวตึก
โลกเงียบจึงแพ้แก่อึกทึก
ลึกตื้นอย่างไรเลิกขบเค้น

พลัดหลงมาอย่างไร-ไม่เคยรู้
อยู่มาอย่างไร-ไม่เคยเห็น
เช้าหนึ่ง-ชีวิตชืดเย็น
เติมอุ่นใจเต้นด้วยกิ้งกือ

ออฟฟิศกลางกรุง : การหลงทางของค้างคาวตัวหนึ่ง


ค้างคาวตัวหนึ่งหลงทาง
บินเข้าหน้าต่าง-ตึกชั้นห้า
เกาะนิ่งไม่เป็นเป้าสายตา
จนผู้จัดการมาจึงโฉบบิน

ฉวัดเฉวียนเวียนและวน
ไม่ชนเพดานแต่เหม่หมิ่น
“ต้อนมันออกไป”-เสียงสั่งยิน
“ให้ดิ้นตายเถอะสัตว์ตัวเดียว”

เปิดทุกบานหน้าต่างกว้างกว่ากว้าง
ยังดื้อยังกางโบกปีกเชี่ยว
โกลาหลกันถ้วนทุกคนเทียว
ฉวยไม้กวาดขับเคี่ยวไม่เลี้ยวลด

ฯลฯ

เดินทางด้วยคลื่นเรดาร์
แปลกในที่มา-การปรากฏ
คุ้นก็แต่ขบวนแถวแนวของมด
เคยก็แต่บี้บดร่างบอบบาง


เป็นเหตุการณ์หลายวันผันผ่านมา
ที่ค้างคาอยู่ในครุ่นคำนึงบ้าง…
คือค้างคาวตัวหนึ่งซึ่งหลงทาง
อยู่ในแสงสว่างตอนเที่ยงวัน.

ออฟฟิศกลางกรุง : ลิฟต์ค้าง

picture : www.lpds..htmsztaki.hu/~roberto/photos/warsaw99

ตื่นเช้า-รึจะเฝ้าดูไม้ดอก
บานออกรับแสงจ้า-ริมหน้าต่าง
ห้องแคบในแต่งปรุงของรุ่งราง
ครึ้มกระถางดินเผา-เหงาชะมัด

ตื่นเช้า-รึจะเฝ้าดูไม้ดอก
เร่งแต่จะเข้าคอก-รีบตอกบัตร
ตื่นช้า - รถติด อา...สารพัด
รุมซัดรุมตีทุกวี่วัน

เบื้องล่างตึกสูง-สำนักงาน
อาคารสูงสี่สิบเจ็ดชั้น
ยั้วเยียะรุมสุมความฝัน
รอขึ้นสวรรค์-ระฟ้า

ยืดยาวเดินเข้าขบวนแถว
รอแต่ลิฟต์แก้ว-ปรารถนา
ติ๊กต่อกเลาะเล็ม-เข็มนาฬิกา
โอ้...สายอีกคราคิดปลง
ติ๊กต่อกเลาะเล็ม-เข็มนาฬิกา
(โอ้...ลิฟต์ค้างคา-ขาลง)

Tuesday, October 17, 2006

มุมกาแฟ : ร้านหนังสือ




เคลื่อนไหวอยู่นอกกระจก-ในอกเรา
ลมยังเย้าใบไม้โยกส่ายไหว
ขับบทเพลงพริ้งเพราะเสนาะไกล
เกาะกิ่งอยู่ใกล้ ใกล้-ใครได้ยิน

-หนึ่ง-
อีกรอบ-เพลงม้วนเก่าเรารับฟัง
วนกลับมาอีกครั้งไม่จบสิ้น
เป็นเพลงใหม่ใหม่ไม่คุ้นชิน
เราหลงบางกลิ่นไอในมุมกาแฟ

บางคำถามคนกันเอง “เพลงเพราะหรือ”
เราตอบ “อือ” ก้มหน้า...ทว่าแค่-
เฉพาะบางเงื่อนไข-ไอเย็นแอร์
นอกนั้นแล้วแต่ชอบรักพนักงาน

เราเพียงผู้เดินร้อนมาหย่อนเย็น
บาทวิถีลำเค็ญยากเร้นผ่าน
โต๊ะแต่ละตัวต่างไม่ว่างนาน
เราเองก็เกียจคร้านกับการยืน

หลายครั้งเลือกคนนั่งได้ดั่งใจ
บางวันที่ผ่านไป...ใช่เราฝืน
คนบางคนคำบางคำเรากล้ำกลืน
กับประเด็นพื้นพื้นพร้อมสนทนา

กับประเด็นพื้นพื้นเพลงจะเพราะ
นิ้วมือเคาะรับจังหวะกระดิกขา
เห็นบางคนเยื้องกรายเราปรายตา
ชัดมากกว่าทุกวันที่หันมอง

โต๊ะว่าง-แต่ประหลาดไม่อาจนั่ง
ของวางตั้งส่อเค้ามีเจ้าของ
เรามาเพื่อสลับกันจับจอง
แต่จำต้องละวางเป็นบางครั้ง

-สอง-
พนักงานคงนึกไป “เมื่อไหร่จะลุก”
ส่งสายตารุกเข้าใส่เร้าให้สั่ง
“คืนกำไรคนขายพอได้ตังค์
จะนั่งต่อนานเท่าไหร่ไม่ว่ากัน”

ต่อหนังสือบางเล่มเราเล็มลึก
ซ่านเต็มความรู้สึกในนึกฝัน
บางเล่มบอกเล่าอย่างเท่าทัน
เพียงประโยคสั้นสั้น-เราบรรลุ !

บางเล่มบางบางเรากางอ่าน
มีงานที่งามง่ายคล้ายไฮกุ
หากแต่มีอำนาจเอื้อเชื้อปะทุ
ให้ไฟฟืนไม้ผุได้คุโชน

บางเล่มหยิบจับแต่กลับวาง
หนัก-อย่างชั้นนั้นจะบั่นโค่น
บางเล่มในซอกลึกคงนึกตะโกน
“ได้โปรดเถิดช่วยโอนการถือครอง”

-สาม-
โต๊ะตัวข้างข้างว่างอีกแล้ว
กาแฟเย็นในแก้วไม่ทันพร่อง
นัดแรก-คงเขินอายสายตามอง
จดจดจ้องจ้องจีบ-รีบเช็คบิล

คนมาใหม่มีตำรามาเต็มหอบ
กวาดสายตาโดยรอบก่อนตัดสิน
นั่งแล้วสั่งแค่กาแฟร้อนกิน
เริ่มพึมพำพอได้ยิน-ท่องมาตรา

เธองำงึมพึมพำอย่างคร่ำเคร่ง
แต่อีกโต๊ะโฉงเฉงเสียงดังกว่า
เธอเงยและปรามปรายโดยสายตา
แต่ทว่า...เสียงทั้งหมดไม่ลดละ

เขาว่า-“มาชุมนุมที่มุมกาแฟ
เพียงแค่สนทนาสารัตถะ
นัดพบเพื่อสะสางบางภาระ
ก่อนที่แสงตะวันจะวาย”

เธอว่า-“ที่นี่เป็นร้านหนังสือ
และอาจคือห้องสมุดโดยความหมาย
และเงียบต้องปกโปรยโดยปริยาย...”
ข้อยุติทั้งหลายคล้ายคลุมเครือ

แหละนั่นเหมือนติดตันต่อคำตอบ
แต่ข้าพเจ้าชมชอบบางความเชื่อ
เราอาจหาจุดสมดุลร่วมจุนเจือ
ข้อถกเถียงที่เหลือในเนื้อใจ

บางเล่ม,บางคน,บางบทสนทนา
โต้ตอบตลอดเวลา-ใช่,ไม่ใช่
จมลงสู่ห้วงภวังค์ลึก-ข้างใน
ข้างนอก-ฝนตกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...

นกกระจอกนอกกระจกวกไปกลับ
กระโดดเต้นสลับจับกิ่ง,กู่-
บางเพลง,หากรู้ฟังยังพรั่งพรู
เรานั่งอยู่ภายใน-ไม่ได้ยิน.


มุมกาแฟร้านนายอินทร์ รามคำแหง, 2540
พิมพ์ครั้งแรก เนชั่นสุดสัปดาห์

ปลอบเธอ













ฉันเพียงอาคันตุกะ...
ผู้ผ่านมาตามวาระในขณะหนึ่ง
ไม่มากมายความหมาย ไม่ลึกซึ้ง
ใกล้แค่ไหนไปไม่เคยถึง-หัวใจเดินทาง

เธออาจเจือเบิกบานด้วยรานร้าว
ซ่อนบาดเจ็บเหน็บหนาวในคราวอ้างว้าง
แซมเศร้าที่สีหน้าไม่เคยจาง
วนเวียนอยู่ระหว่างทางวกวน

ฉันดั้นเดินมาประสาหนุ่ม
เคยกลัดกลุ้ม, แค้นคับเคยสับสน
บางครั้งโดนชักจูงหลงฝูงคน
รู้ไหม.....ฉันดั้นด้นค้นหาสิ่งใด

หรือเธอรู้…ฉันเองก็ไม่รู้
ว่าเราอยู่ระหว่างทางสายไหน ?
“คือทางสายบรรทุกหวัง, ระวังไว
รักษาใจไม่ให้คว้างแทบทางเดิน”

ใช่ไหม.....หรือไม่ใช่.....
โลกไม่เพียงกำนัลด้วยสรรเสริญ
หากมีร้ายระยำให้ย่ำเผชิญ
มีทั้งเกินทั้งขาด- เหนือคาดเดา

ทั้งนั้น......
เธอฉันจึงมีวันเงียบ, เหงา, เศร้า
วันที่เห็นฟ้าทั่วฟ้าทาสีเทา
ขณะเช้าคลี่คลายมาหลายเพลา

.....................

ทลายลงเถิด, ความทรงจำเจ็บช้ำซ้ำซาก
มาชมฉากสุนทรียะอมตะค่า
มารู้สึกสุขลึกล้ำโดยธรรมดา
ซึ่งทุกผู้แสวงหา- พากันผ่านไป

ผ่านไปสู่ฤดูที่กู่ไม่กลับ
มีตำนานแตกดับจนนับไม่ไหว
วิ่งหา- อารยธรรมทับ, ย่อยยับดวงใจ
เคยพบ, เคยพอมีหรือไม่- ในตำนาน

แท้,เธอหรือฉันก็ล้วนอาคันตุกะ
มีอยู่, เพียงหิ่งห้อยขณะกะพริบผ่าน
เป็นอยู่, ดังละอองไร้น้ำหนักธุลีจักรวาล
ซึ่งมิอาจทัดทานกระแสกาลเวลา

ผ่านมาแล้วก็ไป, แม่น้ำไม่ไหลกลับ
บนฝั่ง, ใครนั่งหลับ-ฝันผวา
ในมืด, รอ- เช้าชื่นบานตระการตา
เถิดเธอผู้แสวงหา- รักษาหัวใจ
บ้านสวนดอก : เชียงใหม่, ๒๕๓๙

Monday, October 16, 2006

ศพผีเสื้อ



ผ่านทางมาพบเมื่อพลบค่ำ
ในระยะที่เท้าย่ำแรงถั่งโถม
แสงหม่นลำสุดท้ายฉายประโลม
มโหรีโหมโรง-มรณกรรม

งามเคยงามทุกสีปีกผีเสื้อ
มาหมองหม่นซีดจางเมื่อคว้างคว่ำ
เงื้อมเงาแห่งราตรีมีเงื่อนงำ
ให้ร่างงามถูกย้ำเป็นตำนาน



ปีกบางพาเจ้าบินจากถิ่นไหน
จุดหมายอยู่แห่งใดในหย่อมย่าน
หลงทางบ้างไหมกับมายาการ
หรือเพียงผ่านทางมา-เพื่อจะรู้

เพื่อรู้ว่า...โลกนี้มีหลายด้าน
เกินกำหนดปรากฏการณ์ทุกนาน,ครู่
ที่คอยเร้าวิญญาณ ณ บานประตู
คือชื่นกลิ่น,บานอยู่-มวลดอกไม้

สะพรั่งบานเต็มลานอุทยานฝัน
แสงวันเอยเคยเย้าอยู่พราวไหว
ผุดพร่างและผลิค่าเต็มตาใจ
จูบแผ่วอยากฝากให้ทุกดอกโดน

จึงที่นั่น,ชั่วปีกหนึ่งมาถึงที่นี่
เพื่อรู้หวานไม่ได้ดีกว่าที่โน่น
เพื่ออีกหวังสู้ทุ่งฝันอันไกลโพ้น
แม้โชกโชนเกิด,ตายมิอาจได้พบ

ที่ปีกเคยบินว่อนจึงเปล่าว่าง
ที่สุดนอนทอดร่างอย่างสงบ
จินตภาพแห่งดอกไม้ลบ,ไม่ลบ
ขณะเคลื่อนแห่งคืนพลบ-ข้าขบคิด

ลมรี่มาริกริกพอพลิกร่าง
เบาปีกบางถูกฉีกอย่างต่อไม่ติด
แต่หวังคงยืนค่ากว่าชีวิต
ภารกิจวิญญาณยาวนานนัก

งามเคยงามทุกสีปีกผีเสื้อ
ลายเส้นเรื่อสีโศกอันโลกสลัก
เพียงเกสร,สายลมเห่บ่มฟัก
ทีละวรรค ทุกวรรคจึงมีชีวิต.
มหานคร : กันยายน, ๒๕๓๘

บางเวลา
















บางเวลาช้าเกินไปในบางเวลา
กว่าโบราณจะว่างาก็ไหม้
เที่ยวสุดท้ายคือด่วนขบวนรถไฟ
นิจจา...เราตื่นสายเกินไปในบางเช้า

บางเวลาเร็วเกินไปในบางเวลา
ชั่วขณะกะพริบตาเร็วไม่เท่า
ปัจจุบันเหมือนไม่มีอยู่ที่เรา
โลกหมุนในวงโคจรเก่าเราตามไม่ทัน

บางเวลาดีเกินไปในบางเวลา
ปานลัดผ่านไปโลกหน้าเสวยสวรรค์
มหาอาณาจักรักสถิตนิจนิรันดร์
แท้เยื่อบางบางคั่นโลกันตร์นรก

บางเวลาชั่วเกินไปในบางเวลา
มัจจุราชกี่พันหน้ารึน่าวิตก
เหตุผลมีเป็นสิบอาจหยิบยก
เถอะ! มีเวลาจะวกไปอีกทาง

บางเวลา - เราอยากเหนือกาลเวลา
กระดิกเข็มนาฬิกาให้วนว่าง
หมายแห่งวัน , ปี , เดือน ลบเลือนลาง
เราแค่อยากปล่อยวางบ้าง - บางเวลา