Monday, October 30, 2006

วิถีแห่งเรา


หนึ่ง
ผ่านมาตามเวลา เข็มนาฬิกากระดิก
ในจังหวะลมระริกใบไม้พลิกไหว
พบว่า...มหานคร ยินเสียงถอนหายใจ
แลกลมอุ่นอยู่ใกล้ใกล้ ไม่รู้จักกัน

มองหน้าก็เร้นเห็นไม่เต็มหน้า
เพียงหางตาชำเลืองแวบ แอบแอบหัน
บางทีเมื่อตาสบ หลบไม่ทัน
ยิ้มเหงาเหงาก็เท่านั้นฉันให้เธอ

เราอาจจะรู้ใจ ไม่รู้จัก
ริมฝีปากเม้มหนัก ไม่อยากเผยอ
รักจริง-หาจากใครเท่าไหร่ไม่เจอ
เราหวงแหนเสมอทั้งที่เพ้อรำพึง

สอง
ผ่านมาแล้ว ฉันพามาองคาพยพ
จากด้านอันไม่จบแค่ภพหนึ่ง
สู่ด้านที่ดาลใจ วาวใสตรึง
เส้นลวดขึง ไต่เส้นลวด...ฉันรวดร้าว

ผ่านเพียงเพื่อหมายจะทายทัก
มีนาทีคลายพักสักคราวหนาว
ในล้อมวง-มีเสียงกระซิบหมายจิบดาว
จะช่วยป่าวให้ดังเพียงหวังชม

แต่พบเพื่อนในวันว่างที่ไม่ว่าง
งานหนักมิอาจวางตื่นฝืนข่ม
มีนาทีงีบหลับไปในระบม
ไหนเลยสมสนิทปิดดวงตา

งานที่ไม่มีหรอกเม็ดเหงื่อ
ผลสำเร็จอาจไม่เหลือให้ลือค่า
งานที่แลกเงินผ่านกาลเวลา
ต่อชีวิตไว้ผลาญพร่าบนรถเมล์

เขารู้ เธอรู้ ใครใครรู้
ทุกพรายพรูอารมณ์ลมเมืองเห่
ระอุร้อนใจกายหรือถ่ายเท
เราทั้งเพรึอาจหนีวิถีเมือง

เหมือนก้าวเดินเผชิญกับกับดัก
ที่เรารักหมายมุ่งอยู่ฟุ้งเฟื่อง
ที่เราล้วนอยู่กับหวังมลังเมลือง
ลืมตัวและหมดเปลืองธรรมดาชาชิน

สาม
ผ่านมาตามลำพังหลังล่วงสู่
พบพี่ผู้เป็นธารใจไม่สุดสิ้น
ฟังเสียงที่วิถีเมืองไม่อาจยิน
ดื่มกินในวิถีธรรมจนสำลัก

พบว่ามหานครยังต้อนสู่
ธรณีประตูกลพราง วางกับดัก
ยังคงมีหวังงาม มีความรัก
บอกชีวิตหนักเท่าไหร่จะไม่แพ้

เราทั้งมวลล้วนมีวิถีแห่งเรา
เป็นวิถีเงียบเศร้าคละ-นอกกระแส
เรายินดีดื่มด่ำมันมิผันแปร
เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งแท้ย่อมคงทน

สี่
ผ่านแล้ว...ฉันผ่านลามหานคร
เพื่อคืนย้อนก่อนตายอีกหลายหน
เมืองที่เราก่นด่ามาหลายอายุคน
แต่ไหนเลยจะหลีกพ้น...วิถีเมือง

บนเส้นทาง เชียงใหม่-กรุงเทพ-เชียงใหม่, 2540

1 comment:

Anonymous said...

“ผ่านแล้ว...ฉันผ่านลามหานคร
เพื่อคืนย้อนก่อนตายอีกหลายหน”
วรรคทองครับ


อ่าน “บอกกล่าว” แล้วพบว่าใกล้เคียงกันครับ
ผมอ่านงานเก่าของตนเองก็คิดว่า “เขียนได้อย่างไงกันวะ” ด้วยเหตุผลคล้ายๆ กัน
แต่มีบ้างเหมือนกันที่อ่านบางวรรคบางบทแล้วคิดว่า “คงเขียนไม่ได้ดีเท่านี้อีกแล้ว”